Mes amies

นักเรียนแผนการเรียน อังกฤษ-ฝรั่งเศส ห้อง 6 โรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม

วันอังคาร, พฤษภาคม 20, 2551

ประวัติมหาวิทยาลัยศิลปากร

มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสถาบันการศึกษา ระดับอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย เดิมคือโรงเรียนประณีตศิลปกรรมสังกัดกรมศิลปากร เปิดสอนวิชาจิตรกรรมและประติมากรรมให้แก่ข้า-ราชการและนักเรียนในสมัยนั้นโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ศาสตราจารย์
ศิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ Corrado Feroci) ชาวอิตาเลียนซึ่งเดินทางมารับราชการในประเทศ ไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน แห่งนี้ขึ้น และได้เจริญเติบโตเป็นลำดับเรื่อยมา จนกระทั่งได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ คณะจิตรกรรมและประติมากรรม ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ จัดตั้งคณะสถาปัตยกรรมไทย (ซึ่งต่อมาได้ปรับหลักสูตรและเปลี่ยน ชื่อเป็นคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) และคณะโบราณคดี หลังจากนั้นได้จัดตั้งคณะมัณฑนศิลป์ ขึ้นในปีต่อมา


ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีนโยบายที่จะเปิดคณะวิชาและสาขาวิชาที่ หลากหลายขึ้น แต่เนื่องจากบริเวณพื้นที่ในวังท่าพระคับแคบมาก ไม่สามารถจะขยายพื้นที่ออกไปได้ จึงได้ขยายเขตการศึกษาไปยังพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม โดยจัดตั้งคณะอักษรศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๑ คณะศึกษาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๓ และคณะวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๕ ตามลำดับ หลังจากนั้น จัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๒๙ คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ และจัดตั้งคณะดุริยางคศาสตร์ขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ เพื่อให้เป็น มหาวิทยาลัยที่มีความสมบูรณ์ ทางด้านศิลปะมากยิ่งขึ้น

พ.ศ. ๒๕๔๐ มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ขยายเขตการศึกษาไปจัดตั้ง วิทยาเขตแห่งใหม่ ที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อกระจายการศึกษาไปสู่ภูมิภาค ใช้ชื่อว่า "วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี" จัดตั้งคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ คณะวิทยาการจัดการ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และวิทยาลัยนานาชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖

มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ขยายงานในระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยการจัดตั้ง บัณฑิตวิทยาลัยขึ้น เพื่อรับผิดชอบในการดำเนินการ

เครื่องหมายทางราชการ พระพิฆเนศ

สีประจำมหาวิทยาลัย สีเขียวเวอร์ริเดียน

วันจันทร์, พฤษภาคม 19, 2551

เพลงชาติฝรั่งเศส

La Marseillaise

Allons enfants de la patrie,
Le jour de gloire est arrivé !
Contre nous de la tyrannie
L’étendard sanglant est levé ! (bis)
Entendez-vous dans les campagnes,
Mugir ces féroces soldats ?
Ils viennent jusque dans nos bras
Egorger nos fils, nos compagnes !

Refrain
Aux armes, citoyens !
Formez vos bataillons !
Marchons, marchons,
Qu’in sang impur
Abreuve nos sillons !

Amour sacré de la patrie,
Conduis, soutiens nos bras vengeurs !
Liberté, liberté chérie,
Combats avec les défenseurs ! (bis)
Sous nos drapeaux, que la victoire
Accoure à tes mâles accents !
Que les ennemis expirants
Voient ton triomphe et notre gloire !

Nous entrerons dans la carrière
Quand nos aînés j’y seront plus ;
Nous y trouverons leur poussière
Et la trace de leurs vertus. (bis)
Bien moins jaloux de leur survivre
Que de partager leur cerceuil,
Nous aurons le sublime orgueil
De les venger ou de les suivre !


ลา มาร์เซแยส (เพลงชาติฝรั่งเศส)

เร็วพวกเราลูกหลานผู้รักชาติ
วันประกาศศักดาได้มาถึง
อำนาจชั่วศัตรูร้ายหมายชีพมึง
ธงรบเลือดชักตรึงอยู่ไม่ไกล

ทหารร้ายใจโจรตะโกนร้อง
คำรามก้องในท้องทุ่งได้ยินไหม
มันราญรุกบุกบ้านเพื่อเอาชัย
ลูกเมียเรามันเชือดได้ให้ตายตาม

เตรียมศาสตราอาวุธเร็วพี่น้อง
รวมพลังเป็นหมู่กองให้เกรงขาม
แล้วตบเท้าก้าวสู่แดนสงคราม
ให้เลือดชั่วสาดตามรอยไถนา

ขอความรักในชาติอันยิ่งใหญ่
นำและหนุนพลังใจทหารกล้า
เสรีภาพ เสรีภาพ เจ้าจงมา
รบเคียงคู่อยู่กับข้ารักษาบ้าน

ใต้ธงรบ "ชัยชนะ" จงประกาศ
พลังชายองอาจชาติทหาร
ให้ศัตรูฉิบหายทรมาน
เมื่อชัยชาญเกียรติก้องเป็นของเรา

พวกเราพร้อมใจสู้สู่แดนหน้า
ที่พี่ชายเคยยุทธาเคยอยู่เฝ้า
ที่ฝุ่นผงธุลีคือพี่เรา
สัมผัสเถ้ารอยร่องของความดี

ความภูมิใจที่ได้รอดปลอดภัยอยู่
หรือจะสู้ได้ร่วมโลงเมื่อเป็นผี
ได้แก้แค้น ได้ตายตาม เพื่อนโยธี
คือศักดิ์ศรีทนงไว้ในใจเรา


ดาวน์โหลดเพลงชาติ MP3 ได้ที่ http://hymne-national.ifrance.com/

หัวใจภาษาฝรั่งเศสเพื่อการสอบ A - NET

อ. ปิยะชาติ ชื่นจิต และคณาจารย์วิชาภาษาฝรั่งเศส
NISIT Academy
กล่าวกันว่าการเรียนภาษาต่างประเทศให้ได้ผลดีนั้น รู้เพียงแต่คำศัพท์อย่างเดียวคงไม่พอ โดยเฉพาะภาษาฝรั่งเศส เพื่อให้เข้าใจภาษามากขึ้นและใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น น้องๆ จำเป็นต้องศึกษาทั้งคำศัพท์ สำนวนภาษา ไวยากรณ์ รวมทั้งวัฒนธรรมด้วย
น้องๆ รู้ไหมว่าไวยากรณ์เป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนภาษาทุกภาษา ถึงแม้จะมีหลายคนบอกว่า “เรียนภาษาไม่ต้องรู้จักไวยากรณ์หรอก แค่พูดได้ เข้าใจ และสื่อสารกับฝรั่งได้ก็หรูแล้ว” จากคำพูดนี้ ก็มีส่วนถูกต้อง เพราะภาษาพูดไม่ต้องเครียดเรื่องไวยากรณ์ แต่ในภาษาเขียนไวยากรณ์ยังถือว่ามีความสำคัญมาก เช่น การแต่งเรียงความ การเขียนจดหมายสมัครงาน หรือ การเขียนบทความนั้น ถ้าน้องๆ เขียนถูกต้องแล้ว สิ่งนี้จะการันตีว่าคุณเป็นผู้ที่รู้ภาษาต่างประเทศได้ในระดับดี
ไวยากรณ์ในภาษาฝรั่งเศสมีมากมาย พูดไปเป็นปีก็ไม่จบ พี่ขอหยิบยกเรื่องกาลมาเล่าสู่กันฟังพอสังเขปเพื่อสะกิดต่อมเรียนรู้ของน้องๆ ในระดับมัธยม
สาเหตุหนึ่งที่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาพูด เพราะ คำกิริยา (les verbes) ในภาษาฝรั่งเศสนั้นต้องผันเยอะมาก ทั้งตามประธาน ตามวิธีใช้ และตามกาลอีกด้วย เพื่อช่วยลดภาระในการเรียนภาษาฝรั่งเศสในห้องเรียน

รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่-->http://social.eduzones.com/yimyim/3418

วันศุกร์, พฤษภาคม 16, 2551

แนวโน้มมหาวิทยาลัยและคณะยอดฮิตปี2551

มหาวิทยาลัยมหิดลได้จัดโครงการเพื่อสำรวจ ความคิดเห็นของน้องๆมัธยมปลายที่มีต่อระบบแอดมิชชั่น และความนิยมในแต่ละคณะ โดยสุ่มตัวอย่างจากทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดแบบแยกเพศประมาณ 1000 คน ซึ่งได้ผลดังนี้

เพศชาย
คณะยอดนิยมอันดับ 10 : คณะเภสัชศาสตร์ 2.7 %
คณะยอดนิยมอันดับ 9 : คณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และคณะสื่อสารมวลชน 3 %
คณะยอดนิยมอันดับ 8 : คณะบริหารธุรกิจ 3.1 %
คณะยอดนิยมอันดับ 7 : คณะอักษรศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และคณะมนุษย์ศาสตร์ 5 %
คณะยอดนิยมอันดับ 6 : คณะวิทยาศาสตร์ 5.6 %
คณะยอดนิยมอันดับ 5 : คณะรัฐศาสตร์ 7.4 %
คณะยอดนิยมอันดับ 4 : คณะนิติศาสตร์ 7.9 %
คณะยอดนิยมอันดับ 3 : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 8.4 %
คณะยอดนิยมอันดับ 2 : คณะแพทย์ศาสตร์ 15 %
คณะยอดนิยมอันดับ 1 : คณะวิศวกรรมศาสตร์ 16.2 %
อื่นๆ 27.7 %

เพศหญิง
คณะยอดนิยมอันดับ 10 : คณะวิทยาศาสตร์ 1.5 %
คณะยอดนิยมอันดับ 9 : คณะนิติศาสตร์ 2.7 %
คณะยอดนิยมอันดับ 8 : คณะวิศวกรรมศาสตร์ 3.1 %
คณะยอดนิยมอันดับ 7 : คณะแพทย์ศาสตร์ 4.6 %
คณะยอดนิยมอันดับ 6 : คณะครุศาสตร์ 4.8 %
คณะยอดนิยมอันดับ 5 : คณะพยาบาลศาสตร์ 4.6 %
คณะยอดนิยมอันดับ 4 : คณะรัฐศาสตร์ 5.2 %
คณะยอดนิยมอันดับ 3 : คณะบัญชี 7.6 %
คณะยอดนิยมอันดับ 2 : นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และคณะสื่อสารมวลชน 17.3 %
คณะยอดนิยมอันดับ 1 : คณะอักษรศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และคณะมนุษย์ศาสตร์ 20.4 %
อื่นๆ 27.8 %

มหาวิทยาลัยยอดนิยม
อันดับ 10. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(บางมด)
อันดับ 9. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
อันดับ 8. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อันดับ 7. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อันดับ 6. มหาวิทยาลัยศิลปากร
อันดับ 5. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อันดับ 4. มหาวิทยาลัยมหิดล
อันดับ 3. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อันดับ 2. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อันดับ 1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบด้วยระบบแอดมิชชั่น โอเน็ท 8 วิชา
เห็นด้วย 31 %
ไม่เห็นด้วย 64 %
เฉยๆ อย่างไรก็ได้ 5 %

หากท่านไม่ผ่านการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการ
ท่านจะเข้ามหาวิทยาลัยเอกชน 52 %
เข้ามหาวิทยาลัยเปิดของรัฐ 31 %
ซิ่ว 10 %
เรียนต่อต่างประเทศ 4 %
อื่นๆ 3 %

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 17, 2551

Barbapapa การ์ตูนฝรั่งเศส


Barbapapa (Barbapapa) est une série télévisée d'animation japonaise en 45 épisodes de 5 minutes, créée par Annette Tison et Talus Taylor en 1974, adaptée de la série de livres Barbapapa. En France, la série a été diffusée à partir de septembre 1980 sur TF1 et rediffusée sur Antenne 2, Canal J, Télétoon, M6 et Piwi. Cette première série est appelée la série classique.
Une deuxième série de 48 épisodes de 5 minutes a été créée en
1977, reprenant cette fois-ci les aventures des Barbapapa en bande dessinée parues dans la revue Le Journal de Barbapapa. C'est la seconde série.

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 05, 2551

ชื่อฝรั่งเท่ห์ ๆ เก๋ ๆ เลือกใช้ตามใจชอบ

วันนี้แม่ของดิฉันต้องขึ้นมาทำงานบนสำนักงาน เลยได้ฤกษ์มาอัพบล๊อกซักที อิอิ
พอเข้าเว็บโรงเรียนมาก็เห็นเว็บที่อาจารย์เกรียงแนะนำให้พวกเรารู้จัก http://www.bonjourajarnton.com ก็เลยลองเข้ามาดูซักหน่อย
เห็นแล้วก็ประทับใจในเรื่อง ชื่อฝรั่งเท่ห์ เห็นปุ๊บเข้าปั๊บเลย เหอๆๆ ก็เลยถือโอกาสนำมาให้เพื่อนๆดูว่ามันเท่ห์ เก๋ยังไงไปดูกันเลย
ชื่อผู้หญิง
Ann (Annie) ความสง่างาม
Angela (Angie) เทพธิดา
Bridget (Biddy) ความแข็งแรง,ความกล้าหาญ
Diana (Di) ดวงจันทร์
Elizabeth (Beth, Liz) คำสาบานของพระเจ้า
Gloria ความรุ่งโรจน์
Helen แสงสว่าง
Jennifer (Jenny) ระลอกคลื่นสีขาว
Linda น่ารัก
Margaret ไข่มุก
Susan (Susie) ดอกลิลลี่
Victoria (Vicky) ชัยชนะ

ชื่อผู้ชาย

Adam (Addy)มนุษย์แห่งแผ่นดินสีแดง
Andrew (Andy)สมชายชาตรี นักรบ
Charles (Charlie)สมชายชาตรี
Christopher (Chris)สาวกผู้อุทิศแด่พระเจ้า
Davidผู้เป็นทีรัก
Henryประมุข
James (Jimmy)ผู้ประสบความสำเร็จ
Michael (Mike)ผู้ที่เหมือนพระเจ้า
Owenนักรบหนุ่ม
Robert (Bob)เปลวไฟอันโชติช่วง
William (Willie)การป้องกันที่แน่นหนา


วันพุธ, มกราคม 23, 2551

มาดูขนมน่ากินกันนะ

NOUGAT ขนมอร่อย

เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ถามถึงขนมหวานของฝรั่ง ชนิดหนึ่ง ชื่อ Nougat พอดีกับเป็นผู้ที่ชื่นชอบขนมหวานมากกว่า อาหารคาว อยู่เป็นทุนเดิม อย่างที่ภาษาอังกฤษ เรียกว่า มี “sweet tooth” ซึ่งในกรณีของผู้เขียน น่าจะใช้คำว่า “sweet teeth” เห็นทีจะเหมาะกว่า เพราะไม่ว่าจะไปรับประทานอาหารที่ใดก็ตาม มักจะเถลไถลแวะดูขนมก่อนอาหารคาวอยู่เป็นประจำ เวลาจะดูเมนู ก็ยังอุตสาห์ดู เมนูของหวาน ก่อนจะตัดสินใจสั่งของคาว เพื่อเก็บที่ไว้ให้ขนมในมื้อนั้นๆ ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมจึงมีโอกาสได้พบปะเยี่ยมเยียน และใช้บริการของ ทันตแพทย์ อยู่บ่อยกว่าคนอื่นๆ

ขนมหวานที่เรียกว่า Nougat นี้ ออกเสียงเรียกอย่างประเทศทางยุโรปโดยมาก จะเรียกว่า “นูก้า” เหมือนที่ฝรั่งเศสเรียก แต่อเมริกัน ออกเสียงเป็น “นูกัด” ฟังดูในภาษาไทยไม่ใคร่จะน่ากินเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด จำได้ว่าได้เคยลองชิมเป็นครั้งแรกเมื่อยังเด็กอยู่มาก ใครสักคนซื้อมาฝาก เป็นของ St. Michael ทำจำหน่าย อยู่ในกล่องกระดาษแข็งสีฟ้าอ่อนๆ ขนาดโตกว่าซองบุหรี่สักหน่อย ข้างในมีขนมสีขาวหม่น มีกระดาษบางๆห่อเป็นชิ้นๆ ประมาณหกชิ้น ตัวขนมไม่แข็งนัก เหนียวหนึบ แต่ไม่เหมือนตังเมของบ้านเรา เพราะเนื้อขนมดูจะโปร่งและเบากว่า

กระดาษที่ห่อมานั้น เมื่อแรกเชยมาก แกะออกทิ้ง เพราะไม่อ่านข้างๆซองที่เขาเขียนอธิบายไว้ หรือถึงแม้พยายามอ่านก็คงไม่เข้าใจ เพราะอายุยังไม่ถึงสิบขวบดีด้วยซ้ำ จนคุณแม่มาเห็นเข้า และอธิบายว่ากระดาษนั้น เป็น wafer paper หรือ rice paper ซึ่งรับประทานได้ จึงรู้สึกตื่นเต้นแบบเด็กว่าสามารถกินกระดาษที่ห่อได้ กลายเป็นขนมยอดนิยมของพวกพี่ๆและผู้เขียนในพริบตา เพราะกระดาษห่อขนมที่กินได้นี่เอง ดูเหมือนไม่ค่อยจะเกี่ยวกับรสชาติของขนมเท่าใดนักในตอนแรก



Nougat ที่ว่านี้ มี ถั่ว คลุกเคล้าอยู่ในเนื้อขนมด้วยสองสามชนิด พร้อมทั้งผลไม้เชื่อม (candied fruit) ที่คิดว่าคงเป็น เชอรี่ ผสมอยู่ด้วย เหนียวๆติดฟันแพ้ตังเมของเราไม่มากนัก ติดอกติดใจมาก เพราะหอมน้ำตาล หอมถั่ว และผลไม้ อร่อยทีเดียว มีโอกาสเมื่อไรเป็นต้องซื้อหามารับประทานเมื่อนั้น

น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่า ขนมของ St. Michael ชนิดนี้หายหน้าไปนานมากจากร้าน Mark & Spencer ไม่ว่าที่ไหน จนเมื่อราวสองปีมานี้ เพิ่งจะหาพบแต่เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ไปจากเดิม เดี๋ยวนี้ทำเป็นท่อนสั้นๆ ไม่ได้ห่อใน wafer paper แล้ว บรรจุรวมกันอยู่ในถุงกระดาษแก้ว ถุงค่อนข้างโต รสชาติเปลี่ยนไปบ้าง คงปรับปรุงตำรา ที่ทำให้ผู้เขียนแอบลำเอียงว่าไม่อร่อยเท่าของเดิม เมื่อสมัยที่ขนมนี้ หายหน้าหายตาไป ต้องไปตามหาซื้อจากร้านอื่นๆแก้ขัด มีโอกาสได้ลองชิม nougat ของ Montelimar แล้วก็เลยติดใจจนทุกวันนี้
Nougat ถือกำเนิดมาให้คนชอบกินขนมอย่างแมงนอนดึกได้อร่อยกัน ตามประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 16 ที่เมือง Marseille ประเทศฝรั่งเศส เล่ากันว่า พวก Greeks เป็นชาติแรกที่นำเข้ามาในฝรั่งเศส ทางเมือง Marseille บ้างก็ว่า พวกกรีก นำสูตรมาจาก ตะวันออกกลาง แต่เป็นอันว่า nougat มาแจ้งเกิดเอาจริงๆ แถมโด่งดังอีกต่างหาก ที่แผ่นดินฝรั่งเศสตอนใต้นั่นเอง ตำราดั้งเดิมมีส่วนผสมของ น้ำตาล น้ำผึ้ง ไข่ วานิลลา และ walnuts มีทั้งอย่างนุ่ม และ อย่างแข็ง

จนเมื่อปี ค.ศ. 1650 ปลายรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ ที่ สิบสี่ หลังจากที่ ต้น Almond ถูกนำเข้ามาปลูก พร้อมๆกับต้น Mulberry และเติบโตผลิดอกออกผล เนื่องจากถูกกับสภาพดินฟ้าอากาศของฝรั่งเศสตอนใต้ จนได้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในยุโรปนั่นแหละ จึงมีการผสม ถั่ว almond ลงไปด้วย บริษัทแรกที่ผลิต nougat ผสม almond ขายจนมีชื่อเสียงเป็นแห่งแรกชื่อ Montelimar ซึ่งยังยืนยงและคงผลิตอยู่มาจนทุกวันนี้



การผลิต nougat ใน ปัจจุบันนั้น ทำด้วยเครื่องจักรทั้งหมด ไม่ต้องพึ่งพาพวก กล้ามแข็ง แรงดี กวนกันให้เมื่อยอีกต่อไป โดยนำส่วนผสมของน้ำตาล, glucose syrup, น้ำผึ้ง, และ invert sugar กลิ่นวานิลลา หรือ กลิ่น almond มาตีเข้าด้วยกัน แล้วทำให้เบาขึ้นด้วยไข่ขาว บางบริษัทจะผสม gelatin ด้วย เมื่อเหนียวได้ที่ ก็ผสมถั่วต่างๆ อันได้แก่ walnuts, almond, pistachio หรือ hazelnuts ที่บางตำราจะผสมผลไม้เชื่อมอย่าง cherry เชื่อมสีแดง สีเขียว หรือ ผลไม้เชื่อมชนิดอื่นๆ เพิ่มกลิ่นหอม สีสัน และรสชาติ
จากนั้นนำไปเทลงพิมพ์ ซึ่งอาจปูด้วย wafer paper หรือ ทาน้ำมัน หรืออื่นๆ ไม่ให้ nougat ติดพิมพ์ได้ แผ่ส่วนผสมลงในพิมพ์ หนาตามต้องการ รอให้เย็น แล้วตัดเป็นชิ้นๆ ตามรูปร่างที่กำหนดว่า(น่า) จะขายได้ โดยทั่วไปเป็นแท่งๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า นี่เป็นอย่างดั้งเดิม แต่ที่เคยเห็นเอามาเทลงพิมพ์ เป็นรูปร่างอื่นๆก็มี เป็นอันจบกระบวนการผลิตขนมหวานที่มีอายุยืนยาวที่สุดชนิดหนึ่ง
Nougat สีขาวหม่น เหล่านี้ บางครั้งจะมีการเติมสีอ่อนๆให้น่ากินยิ่งขี้น เช่น ชมพูอ่อน เขียวอ่อน เดี๋ยวนี้ ผลิตภัณฑ์ จาก nougat ถูกตกแต่งแปลงโฉมไปหลายรูปแบบ ซึ่งบางอย่างอาจถึงกับจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่สังเกต เช่นเคลือบด้วย chocolate เป็นไส้ใน candy bars หลากชนิด ผสมอยู่ใน ice cream หรือ cake เป็นต้น

Nougat ยังคงถือเป็นขนมพิเศษ ที่เชิดหน้าชูตาของ ทางตอนใต้ด้านฝั่งตะวันออก ของประเทศ ฝรั่งเศสอยู่จนทุกวันนี้ และยังรวมอยู่ในรายการหนึ่งของขนมหวาน สิบสามชนิด ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ในมณฑลโพรวองซ์ อีกด้วย Nougat มีทั้งอย่างขาวและ ดำ (nougat blanc, nougat noir) ซึ่งไม่ดำสนิทจริง แต่เป็นสีน้ำตาลเข้ม แบบน้ำตาลไหม้ วิธีทำก็คล้ายคลึงกัน มาก รสชาติใกล้เคียง คือ หวาน หอม มัน เป็นขนมที่ไม่เหมาะกับคนเป็นเบาหวาน เป็นอย่างยิ่ง

วันพุธ, มกราคม 16, 2551

หอไอเฟล







หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, อังกฤษ: Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น
เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือหอมงต์ปาร์นาสส์ (Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ใช้จะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)




โครงสร้าง


หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432(ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร(1046 พุต)
น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น




เหตุการณ์
10 กันยายน พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - โทมัส เอดิสันได้เข้าชมหอไอเฟล
พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอคอยได้สร้างเสร็จ และเป็น 1 ในสิ่งก่อสร้างในงาน EXPO
พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - ฟ้าผ่าหอไอเฟล จึงได้มีการซ่อมยอดของหอ สูง 100 เมตร (330 ฟุต) และเปลี่ยนดวงไฟที่เสียหาย
พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) หอเสียตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ให้แก่ตึกไครส์เลอร์
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468-พ.ศ. 2477(ค.ศ. 1925-1934) ประดับไฟ 3 ด้านใน 4 ด้านของหอ
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) เมื่อนาซีเยอรมันสามารถยึดปารีสได้แล้ว ชาวฝรั่งเศสได้ตัดลิฟท์ออก ทำให้ฮิตเลอร์ต้องปีนบันได 1,665 ขั้น แต่เขาไม่ปีน เขาให้เอาธงเยอรมันไปปักไว้บนหอแทน
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) เดือนสิงหาคม ฮิตเลอร์สั่ง Dietrich von Choltitz ให้เผาเมืองปารีส และหอทิ้ง แต่เขากลับฝืนคำสั่งไม่เผา เพราะว่าเขาเสียดายเมือง
พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) วันที่3 มกราคม ไฟไหม้ยอดของหอ และในปีเดียวกันนั้นก็ได้นำเสาอากาศวิทยุไปติ้งตั้งบนยอดด้วย
ทศวรรษที่ 1980 ได้มีการเคลื่อนย้ายรื้อร้านอาหารที่เก่าแก่ในหอออก ไปสร้างใหม่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกาแทน
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ได้มีการติดตั้งโคมไฟบนยอดของหอ
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) วันที่28 พฤศจิกายน หอไอเฟลต้อนรับแขกคนที่ 200 ล้าน
พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) วันที่22 กรกฎาคม ไฟไหม้ยอดของหอ ในห้องเก็บของอีกครั้ง ใช้เวลาดับไฟประมาณ 40 นาที